Search


ว้าวววว
Wow!Translated
คดีจอมพลสฤษ...

  • Share this:


ว้าวววว
Wow!Translated
คดีจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ คดีอื้อฉาวที่สุดในวงการการเมืองไทย

หลายคงทราบกันดีกับชื่อนายกรัฐมนตรีที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งของประเทศไทย คือ "จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์" อดีตนายกรัฐมนตรีไทยคนที่ 11 จอมพลสฤษดิ์ถือได้ว่าเป็นนายกฯที่ครองตำแหน่งอย่างยาวนานมากพอสมควร โดยตั้งแต่การยึดอำนาจการปกครองตั้งแต่ปี พ.ศ. 2502 จนถึงแก่อสัญกรรมในปีพ.ศ. 2506 ในช่วงที่จอมพลสฤษดิ์ ได้เข้ามาควบคุมอำนาจรัฐ และประกาศยกเลิกรัฐธรรมนูญเดิม ประกาศใช้ธรรมนูญการปกครอง พ.ศ.2502 โดยมีมาตรา 17 อันเป็นมาตราที่ให้อำนาจแก่จอมพลสฤษดิ์ แต่เพียงผู้เดียวในการใช้อำนาจรัฐคืออำนาจอธิปไตยของประเทศไทย (เทียบได้กับ มาตรา 21 ในสมัยธานินทร์ กรัยวิเชียร และมาตรา 44 ของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา) จึงทำให้ในยุคของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์เป็นยุคที่เรียกได้ว่าเป็นเผด็จการทหารอย่างสมบูรณ์ จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจนถึงแก่อสัญกรรมเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2506 เป็นนายกรัฐมนตรีไทยคนเดียวที่ถึงแก่อสัญกรรมในตำแหน่ง ซึ่งต่อมาจอมพลถนอม กิตติขจรได้สืบทอดอำนาจขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีต่อจากจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ (จนในที่สุดระบบเผด็จการทหารของจอมพลถนอมก็ได้สิ้นสุดลงเมื่อ 14 ตุลาคม 2516 จากการประท้วงชุมนุมของนิสิตนักศึกษาประชาชนในการขับไล่เผด็จการทหารที่ควบคุมประเทศไทยมาอย่างยาวนา)

คดียึดทรัพย์ของจอมพลสฤษดิ์เริ่มขึ้นเมื่อ หนึ่งเดือนหลังจากที่จอมพลสฤษดิ์ถึงแก่อสัญกรรมแล้ว ทายาทของจอมพลสฤษดิ์ต่างก็เริ่มวิวาทเกี่ยวกับทรัพย์มรดกมหาศาลของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เนื่องด้วยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ถือได้ว่าเป็นผู้ที่มีอนุภรรยาเป็นจำนวนมาก จึงเกิดกรณีทายาทแก่งแย่งมรดกกัน ในสมัยที่อยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจอมพลสฤษดิ์ก็ได้รับฉายาว่า "จอมพลผ้าขาวม้าแดง" คำว่าจอมพลผ้าขาวม้าแดงนี้มีสาเหตุมาจากที่ จอมพลสฤษดิ์ก่อนที่จะมีเพศสัมพันธุ์กับผู้หญิงต่างๆ มักจะใช้"ผ้าขาวม้าแดง"คาดเอว (ต่อมาได้มีการเปิดเผยนางบำเรอของจอมพลผ้าขาวม้าแดงออกมา โดยมีตั้งแต่ นางงาม นางสาวไทย ดาราภาพยนตร์ หญิงบริการตามไนท์คลับ นักศึกษามหาวิทยาลัย และนักเรียนโรงเรียนมัธยมทั้งเป็นวัยรุ่นและยังไม่เป็นวัยรุ่น โดยได้มีการรวบรวมรายชื่อ บรรดานางบำเรอในชีวิตของจอมพลสฤษดิ์ ได้ถึง 81 คน)

การเกิดเรื่องราวอื้อฉาวเกี่ยวกับการแก่งแย่งทรัพย์สินมรดกจำนวนมหาศาลของจอมพลสฤษดิ์ ทำให้ประชาชนและสื่อมวลชนต่างให้ความสนใจมากเป็นพิเศษ จึงทำให้จอมพลถนอม กิตติขจรต้องแทรกแซงและสวบสวนเบื้องหลังความมั่งคั่งของจอมพลสฤษดิ์ในคดีฟ้องร้องแย่งชิงมรดกมูลค่าพันล้านระหว่างท่านผู้หญิงวิจิตรา ภรรยาคนสุดท้ายของจอมพลสฤษดิ์กับบุตรธิดาที่เกิดจากการสมรสครั้งก่อน ๆ ของจอมพลสฤษดิ์ ในที่สุดจอมพลถนอม นายกรัฐมนตรีต้องใช้อำนาจตามมาตรา 17 แห่งธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พ.ศ. 2502 ยึดทรัพย์จอมพลสฤษดิ์ การสอบสวนคดีนี้เริ่มตั้งแต่ในวันที่ 16 มิถุนายน พ.ศ.2507 จอมพลถนอมมีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนทรัพย์สินของรัฐในกองมรดกของจอมพลสฤษดิ์ขึ้น ต่อมาคณะกรรมการสอบสวนทรัพย์สินฯ ได้ทำรายงานสรุปผลการสอบสวนไปยังคณะกรรมการกฤษฎีกาที่มีจอมพลถนอมเป็นประธาน

ผลปรากฏว่าจอมพลสฤษดิ์ได้ใช้เงินแผ่นดินเพื่อเลี้ยงดูนางบำเรอ หญิงสาวต่าง ๆ และนำเงินแผ่นดินไปลงทุนในธุรกิจส่วนตัว รวมถึงมีเงินผลประโยชน์ที่สำคัญๆ 3 แหล่งได้แก่ 1. เงินงบประมาณแผ่นดิน 394,000,000 บาทที่เป็นเงินสืบราชการลับของสำนักนายกรัฐมนตรี 2.เงิน 240,000,000 จากกองสลากกินแบ่งรัฐบาล และ 3. ประมาณ 100,000,000 บาทซึ่งควรที่จะให้แก่กองทัพบกซึ่งกองทัพบกจะต้องได้เปอร์เซนต์จากการขายสลากกินแบ่งรัฐบาล ซึ่งเงินผลประโยชน์ต่างๆทั้ง 3 แหล่งนั้นต่างรวมอยู่ที่จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์จนกลายเป็นทรัพย์สินของตนไปในที่สุด อธิบดีกรมทะเบียนการค้าในขณะนั้นเปิดเผยว่า จอมพลสฤษดิ์และท่านผู้หญิงวิจิตรา ธนะรัชต์ภริยาตามกฎหมายคนสุดท้ายนั้น มีผลประโยชน์จากบริษัทต่าง ๆ ถึง 45 แห่ง รวมถึงการถือหุ้นที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งคือ บริษัทกรุงเทพกระสอบป่าน ซึ่งมีมูลค่ามากกว่า 20,000,000 บาท ต่อมาสมาชิกในคณะกรรมการบริษัทได้กล่าวว่า หุ้นส่วนเหล่านี้ได้โอนไปให้น้องชายจอมพลสฤษดิ์สองคนไปแล้ว ซึ่งทั้งนี้ก็หมายความว่าจอมพลสฤษดิ์ได้ผลประโยชน์มหาศาลจากอุตสาหกรรมข้าว ซึ่งกฎหมายตอนนั้นบังคับให้ซื้อกระสอบป่านจากบริษัทนี้เท่านั้น นอกจากจำนวนหุ้นและบัญชีเงินฝากในธนาคารจำนวนมากมายแล้ว จอมพลสฤษดิ์ยังมีที่ดินและที่นาอีกจำนวนมหาศาล ดังที่อธิบดีกรมที่ดินในขณะนั้นกล่าวว่า จอมพลสฤษดิ์มีที่ดินมากกว่า 20,000 ไร่ในต่างจังหวัด และที่ดินอีกนับไม่ถ้วนทั่วพระนคร(กรุงเทพมหานคร) ส่วนเงินสดที่เก็บไว้ในธนาคารต่าง ๆ นั้น จอมพลสฤษดิ์มีอยู่ประมาณ 410,000,000 บาท ซึ่งถูกยึดไว้เพื่อพิจารณาว่าเป็นเงินแผ่นดินหรือไม่

คณะกรรมการกฤษฎีกาที่มีจอมพลถนอมเป็นประธาน ลงมติด้วยคะแนนเสียง 25 ต่อ 22 จากทั้งหมด 48 เสียง ให้ทำการยึดทรัพย์อันเป็นมรดกของจอมพลสฤษดิ์ทั้งหมดในวันที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ.2507 จอมพลถนอม กิตติขจร นายกรัฐมนตรีจึงได้ใช้มาตรา 17 แห่งธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พ.ศ.2502 ออกคำสั่งยึดทรัพย์สินของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ โดยให้ทรัพย์สินในกองมรดกของจอมพลสฤษดิ์และทรัพย์สินของท่านผู้หญิงวิจิตรา ผู้เป็นภรรยาตกเป็นของรัฐ ซึ่งในคำสั่งมีสาระสำคัญ คือ

"....โดยที่ปรากฎว่า จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ขณะมีชีวิตอยู่ได้ใช้อำนาจหน้าที่ในราชการโดยมิชอบ กระทำการเบียดบังและยักยอกทรัพย์สินของรัฐไปหลายครั้งหลายหนป็นจำนวนมากมาย เท่าที่ปรากฏในขณะนี้มีมูลค่าถึงเงิน 435,704,115.89 บาท ซึ่งเมื่อรวมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5ต่อปีแล้ว เป็นเงินที่รัฐต้องได้รับความเสียหายรวมทั้งสิ้น 574,328,078.26 บาท การกระทำดังกล่าวนี้มีผลเป็นการบ่อนทำลายความั่นคงของราชอาณาจักร และโดยที่ท่านผู้หญิงวิจิตรา ธนะรัชต์เป็นภริยาของ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ได้ร่วมรับประโยชน์จากการนี้ด้วย อาศัยอำนาจตามมาตรา 17 แห่งธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พ.ศ.2502 นายกรัฐมนตรีโดยมติของคณะรัฐมนตรีจึงมีคำสั่งให้ทรัพย์สินดังกล่าวตกเป็นของรัฐทันทีในวันที่ออกคำสั่งนี้.."

ต่อมาในวันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ.2507 จอมพลถนอม กิตติขจรได้ออกคำสั่งยึดทรัพย์สินของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นฉบับที่ 2 โดยเพิ่มยอดเงินที่จะต้องยึดเข้าเป็นของรัฐจำนวน 30,223,198.36 บาท ดังนั้นเมื่อรวมยอดเงินที่รัฐบาลจอมพลถนอมสามารถยึดมรดกของ จอมพลสฤษดิ์เข้าเป็นของรัฐทั้งหมด มีจำนวนทั้งสิ้น 604,551,276.62 บาท การที่จอมพลถนอมต้องเข้ามาแทรกแซงนั้นก็เนื่องด้วยความไม่พอใจของประชาชนที่เกี่ยวกับข่าวความมั่งคั่งอันผิดปกติของจอมพลสฤษดิ์ การตัดสินใจสั่งยึดทรัพย์ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ จึงเป็นเรื่องใหญ่และหนักใจอย่างยิ่งสำหรับ จอมพลถนอม กิตติขจร แต่ก็จำเป็นต้องกระทำเช่นนั้น (ซึ่งต่อมาจอมพลถนอมก็ถูกยึดทรัพย์ หลังจากเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 เนื่องด้วยความร่ำรวยผิดปกติ)

จะเห็นได้ว่าเพียงจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์เข้าดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีเพียง 4 ปี ทรัพย์สินของจอมพลสฤษดิ์มีประมาณเกือบหมื่นล้านบาท รวมถึงที่ดินอันประมาณค่ามิได้ (ต้องอย่าลืมว่าค่าเงินในสมัยนั้นประมาณเท่าใด) เนื่องด้วยในสมัยที่จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์เป็นนายกรัฐมนตรีนั้น ถือได้ว่าป็นผู้มีอิทธิพลและมีอำนาจ สามารถสั่งประหารชีวิต หรือสั่งใครเข้าคุกได้โดยใช้อำนาจมาตรา 17 แห่งธรรมนูญการปกครอง การต่อต้านและการชุมนุมถือว่าผิดกฎหมาย ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้าตรวจสอบขณะที่จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ความลับทั้งหมดของจอมพลสฤษดิ์ จึงถูกเปิดโปงหลังจากถึงแก่อสัญกรรมแล้ว และทั้งหมดนี้ก็คือเรื่องราวทั้งหมดเกี่ยวกับการยึดทรัพย์ของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรีที่ถือได้ว่าเป็นต้นแบบของระบบเผด็จการทหารของประเทศไทยก็ว่าได้

ขอบคุณข้อมูลจาก
- สัมฤทธิ์ มีวงศ์อุโฆษ,หนังสือ บันทึกประวัติศาสตร์การยึดทรัพย์สินนักการเมืองและผู้มีอำนาจทางการปกครองตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน
- โดม แดนไทย, ไพโรจน์ รัตตกุล, ประเดิม เขมะศรีสุวรรณ, สมศักดิ์ กรูมะโลหิต,หนังสือ จอมพลของหนู ๆ


Tags:

About author
not provided
เรื่องราวและมุมมองสนุกๆ แปลกใหม่จากหลากหลายแขกรับเชิญ กับจอห์น วิญญู
View all posts